วิเคราะห์อนุภาค

มกราคม 21, 2025
วิเคราะห์ฝุ่นหรืออนุภาค

วิเคราะห์ฝุ่น

ALS Testing บริการวิเคราะห์ฝุ่นหรืออนุภาค บนชิ้นส่วนยานยนต์  มาตรฐาน VDA19/ ISO 16232  ( ภายใต้การรับรองมาตรฐาน ISO 17025) ALS Testing เป็นบริการที่ให้การวัดขนาด นับ และวิเคราะห์ฝุ่นบนชิ้นส่วนยานยนต์ตามมาตรฐาน VDA19 และ ISO 16232-2018 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์สำหรับการควบคุมคุณภาพและความสะอาดของชิ้นส่วนยานยนต์ ALS Testing ได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการที่ครอบคลุมในทุกการทดสอบตามมาตรฐาน VDA19 และ ISO 16232 ทำให้มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ การวิเคราะห์ฝุ่นไม่เพียงแต่ช่วยในการควบคุมคุณภาพของชิ้นส่วนยานยนต์ แต่ยังช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ALS Testing จึงสามารถให้บริการที่มีคุณภาพสูงในการวัดขนาด นับ และวิเคราะห์ฝุ่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด การทดสอบตามมาตรฐาน VDA19/ISO16232 โดย ALS ภายใต้การรับรองมาตรฐาน ISO 17025 ALS ได้รับการรับรองการทดสอบตามมาตรฐาน ISO 16232 ภายใต้ขอบข่ายการรับรอง ISO 17025 ซึ่งครอบคลุมการดำเนินการทดสอบที่มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือสูง โดยการทดสอบตามมาตรฐาน VDA19/ISO16232 แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนหลัก ดังนี้: ขั้นตอนที่ 1: การทดสอบ Decline (Validation of Extraction Parameters) การทดสอบในขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันว่าพารามิเตอร์การสกัดอนุภาค (Particle Extraction Parameters) เหมาะสมกับชิ้นงานของลูกค้าหรือไม่ โดยมีแนวคิดดังนี้: นำชิ้นงานมาผ่านกระบวนการสกัด (Extraction Process) จากนั้นนำน้ำที่ได้จากการสกัดไปกรองผ่านแผ่นกรอง (Filter). แผ่นกรองที่ได้จะถูกนำไปวิเคราะห์ด้วยเครื่อง Particle Analyzer. ทำซ้ำกระบวนการดังกล่าวกับชิ้นงานเดิมจำนวน 6 ครั้ง เพื่อให้ได้แผ่นกรองทั้งหมด 6 ชิ้น. นำผลการทดสอบจากทั้ง 6 แผ่นกรองมาพล็อตกราฟเพื่อตรวจสอบความสอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐาน. หากผลการทดสอบผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐาน VDA19/ISO16232 ขั้นตอนนี้จะถือว่าสำเร็จและสามารถดำเนินการทดสอบในขั้นตอนถัดไปได้. ขั้นตอนที่ 2: การวิเคราะห์อนุภาค (Particle Analysis)  การวิเคราะห์อนุภาคเป็นกระบวนการที่สำคัญในการศึกษาขนาด ปริมาณ ชนิดและคุณสมบัติอื่น ๆ ของอนุภาคในสารต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญในหลายอุตสาหกรรม  ขั้นตอนนี้เป็นการนำชิ้นงานมาผ่านกระบวนการสกัดตามมาตรฐาน VDA19 โดยนำน้ำที่ผ่านการสกัดไปกรองผ่านแผ่นกรอง และนำแผ่นกรองไปวิเคราะห์ด้วยเครื่อง Particle Analyzer เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สำคัญดังต่อไปนี้: ปริมาณ (Quantity) ขนาด (Size) ชนิด (Type) ผลการวิเคราะห์จะจำแนกอนุภาคออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่: Metallic (โลหะ) Non-Metallic (ไม่ใช่โลหะ) Fiber (ไฟเบอร์) การวิเคราะห์เชิงลึกเพิ่มเติมเพื่อระบุชนิดของอนุภาคที่ตรวจพบ สามารถดำเนินการดังนี้: 1.ในกรณีที่พบอนุภาคประเภท Metallic (โลหะ) และต้องการทราบองค์ประกอบธาตุ จะทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วยเครื่อง SEM/EDX (Scanning Electron Microscope with Energy Dispersive X-ray Analysis). การวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) และการวิเคราะห์องค์ประกอบของธาตุด้วย EDX หลักการทำงาน
Scanning Electron Microscopy (SEM) เป็นเทคนิคที่ใช้ลำแสงอิเล็กตรอนในการสแกนพื้นผิวของตัวอย่างเพื่อสร้างภาพที่มีความละเอียดสูง สามารถแสดงรายละเอียดพื้นผิวและโครงสร้างของตัวอย่างในระดับไมโครเมตรได้อย่างชัดเจน
Energy Dispersive X-Ray Spectroscopy (EDX หรือ EDS) เป็นเครื่องมือที่ติดตั้งร่วมกับ SEM สำหรับการวิเคราะห์ธาตุในตัวอย่าง โดยตรวจจับลักษณะเฉพาะของรังสีเอกซ์ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาระหว่างลำแสงอิเล็กตรอนกับธาตุต่าง ๆ ในตัวอย่าง คุณสมบัติเด่นของ SEM/EDX การตรวจจับธาตุในระดับไมโครเมตร ระบุองค์ประกอบทางเคมีของตัวอย่างในพื้นที่เฉพาะ แสดงการกระจายตัวของธาตุในตัวอย่าง เช่น โลหะผสม หรือพื้นผิวที่มีการเคลือบ การตรวจสอบลักษณะโครงสร้างและพื้นผิว ใช้วิเคราะห์ข้อบกพร่องในวัสดุ เช่น การแตกร้าว การสึกกร่อน หรือการเคลือบผิว การวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมี ตรวจสอบความหนาของชั้นเคลือบและชั้นของโลหะที่แตกต่างกัน วิเคราะห์ร่องรอยของการกัดกร่อนในโลหะ การประยุกต์ใช้งาน การวิเคราะห์วัสดุ ศึกษาองค์ประกอบของวัสดุ เช่น โลหะ เซรามิก หรือโพลิเมอร์ ตรวจสอบการกระจายตัวของธาตุในโลหะผสม การวิเคราะห์ฝุ่นและสิ่งสกปรก ตรวจสอบองค์ประกอบของฝุ่นที่ตกค้างในกระบวนการผลิต วิเคราะห์ฝุ่นที่มีโอกาสเกิดการระเบิด เพื่อประเมินความปลอดภัย การวิเคราะห์ปัญหาการผลิต ตรวจสอบข้อบกพร่องในผลิตภัณฑ์ เช่น รอยแตก การสึกกร่อน หรือความเสียหายจากการใช้งาน ข้อดีของ SEM/EDX ให้ข้อมูลที่ละเอียดและครอบคลุมทั้งในด้านโครงสร้างและองค์ประกอบของตัวอย่าง รองรับการวิเคราะห์ตัวอย่างที่หลากหลาย ใช้ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการแก้ปัญหาด้านการผลิต 2.สำหรับอนุภาคประเภท Non-Metallic (ไม่ใช่โลหะ) และ Fiber (ไฟเบอร์) ซึ่งอาจประกอบไปด้วยวัสดุจำพวกยาง พลาสติก หรือเส้นใยจากธรรมชาติ จะทำการวิเคราะห์ด้วยเครื่อง FTIR (Fourier Transform Infrared Spectroscopy). หลักการทำงาน Fourier Transform Infrared Spectroscopy (FT-IR) Fourier Transform Infrared Spectroscopy (FT-IR) เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์องค์ประกอบทางโครงสร้างเคมีของสาร โดยอาศัยคุณสมบัติการดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่นอินฟราเรด ตัวอย่างสารจะดูดกลืนหรือส่งผ่านแสงอินฟราเรดในลักษณะเฉพาะ ซึ่งเปรียบเสมือน “ลายนิ้วมือ” ทางเคมีของวัสดุแต่ละชนิด ประเภทตัวอย่างที่สามารถวิเคราะห์ได้
FT-IR สามารถใช้งานกับตัวอย่างในสถานะต่าง ๆ เช่น ของแข็ง: เช่น พลาสติก ยาง เส้นใยทั้งสังเคราะห์และธรรมชาติ ของเหลว: เช่น น้ำยาทำความสะอาด สี น้ำมัน ก๊าซ: ตัวอย่างที่อยู่ในรูปของไอระเหย การประยุกต์ใช้งาน การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ: ตรวจสอบชนิดของสาร เช่น โพลีเมอร์ เรซิ่น กาว และน้ำมัน วิเคราะห์องค์ประกอบสารเคมีที่เป็นสิ่งเจือปนในผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์เชิงปริมาณ: วัดปริมาณขององค์ประกอบทางเคมีในตัวอย่าง ใช้ในการควบคุมคุณภาพและประเมินคุณสมบัติของวัสดุ คุณสมบัติเด่นของ FT-IR High Sensitivity MGT-A Detector: ช่วยให้ตรวจวัดได้อย่างแม่นยำ Interchangeable Accessories: เช่น VATR, Liq-Cell, ZnSe Compression Cell รองรับการวิเคราะห์ตัวอย่างในสถานะที่แตกต่างกัน Nicolet Nic-Plan Microscope: สำหรับวิเคราะห์ตัวอย่างขนาดเล็กที่มีปริมาณน้อยหรือเป็นสิ่งเจือปน ตัวอย่างของวัสดุที่วิเคราะห์ด้วย FT-IR ได้ ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน: น้ำยาทำความสะอาด สี น้ำมัน กระดาษ กาว วัสดุอุตสาหกรรม: โพลีเมอร์ เช่น อิพ็อกซี่ เรซิ่น พลาสติก และยาง เส้นใย: ทั้งเส้นใยสังเคราะห์และเส้นใยธรรมชาติ จุดเด่นของการวิเคราะห์ด้วย FT-IR ใช้ตัวอย่างในปริมาณน้อย ไม่ทำลายตัวอย่าง ทำให้สามารถนำไปวิเคราะห์ด้วยเทคนิคอื่นต่อได้ วิเคราะห์ได้รวดเร็วและแม่นยำ การใช้งานในอุตสาหกรรม
ALS ปทุมธานี ให้บริการทดสอบ FT-IR ที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมไอทีและซอฟต์แวร์ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ โทรคมนาคม อุตสาหกรรมพลาสติก การวิเคราะห์อนุภาคมีประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจอย่างไร? การวิเคราะห์อนุภาคมีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจในหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการควบคุมคุณภาพในภาพรวมของอุตสาหกรรม ดังนี้ การควบคุมคุณภาพ การวิเคราะห์ขนาดและการกระจายของอนุภาคเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์ อาหาร เภสัชกรรม และเคมี การเข้าใจขนาดอนุภาคช่วยให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตและรับประกันว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูงและตรงตามมาตรฐานที่กำหนด การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การวิเคราะห์อนุภาคช่วยให้สามารถติดตามและปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของขนาดและจำนวนอนุภาคในระหว่างกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมสภาวะการทำงานที่เหมาะสมเพื่อให้ได้อนุภาคที่มีคุณสมบัติตามต้องการอย่างสม่ำเสมอ ลดความล่าช้าและข้อผิดพลาด การใช้เทคนิคการวิเคราะห์อนุภาคแบบออนไลน์ช่วยลดความล่าช้าและข้อผิดพลาดที่เกิดจากการสุ่มตัวอย่างและการวิเคราะห์แบบออฟไลน์ ทำให้สามารถตรวจสอบสถานะของกระบวนการผลิตได้แบบเรียลไทม์ และทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ในด้านวิจัยและพัฒนา การวิเคราะห์อนุภาคช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจพฤติกรรมของวัสดุต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว ประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เทคนิคการวิเคราะห์อนุภาคถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การควบคุมคุณภาพของผงอาหารในอุตสาหกรรมอาหาร การควบคุมขนาดอนุภาคของยาในอุตสาหกรรมยาและเภสัชกรรม และอุตสาหกรรมเคมีที่ต้องมีการควบคุมขนาดของสารเคมีต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต เป็นต้น ลดต้นทุนในการผลิต ด้วยการควบคุมคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การวิเคราะห์อนุภาคสามารถช่วยลดต้นทุนในการผลิตได้ โดยลดจำนวนสินค้าชำรุดหรือไม่ตรงตามมาตรฐาน ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตได้มากขึ้น
อ่านเพิ่มเติม