ALS Testing เป็นบริการที่ให้การวัดขนาด นับ และวิเคราะห์ฝุ่นบนชิ้นส่วนยานยนต์ตามมาตรฐาน VDA19 และ ISO 16232-2018 ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์สำหรับการควบคุมคุณภาพและความสะอาดของชิ้นส่วนยานยนต์
ALS Testing ได้รับการรับรองมาตรฐานห้องปฏิบัติการที่ครอบคลุมในทุกการทดสอบตามมาตรฐาน VDA19 และ ISO 16232 ทำให้มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความถูกต้องและเชื่อถือได้ การวิเคราะห์ฝุ่นไม่เพียงแต่ช่วยในการควบคุมคุณภาพของชิ้นส่วนยานยนต์ แต่ยังช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมงานผู้เชี่ยวชาญ ALS Testing จึงสามารถให้บริการที่มีคุณภาพสูงในการวัดขนาด นับ และวิเคราะห์ฝุ่นในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาด
ALS ได้รับการรับรองการทดสอบตามมาตรฐาน ISO 16232 ภายใต้ขอบข่ายการรับรอง ISO 17025 ซึ่งครอบคลุมการดำเนินการทดสอบที่มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือสูง โดยการทดสอบตามมาตรฐาน VDA19/ISO16232 แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนหลัก ดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1: การทดสอบ Decline (Validation of Extraction Parameters)
การทดสอบในขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันว่าพารามิเตอร์การสกัดอนุภาค (Particle Extraction Parameters) เหมาะสมกับชิ้นงานของลูกค้าหรือไม่ โดยมีแนวคิดดังนี้:
หากผลการทดสอบผ่านเกณฑ์ตามมาตรฐาน VDA19/ISO16232 ขั้นตอนนี้จะถือว่าสำเร็จและสามารถดำเนินการทดสอบในขั้นตอนถัดไปได้.
ขั้นตอนที่ 2: การวิเคราะห์อนุภาค (Particle Analysis)
การวิเคราะห์อนุภาคเป็นกระบวนการที่สำคัญในการศึกษาขนาด ปริมาณ ชนิดและคุณสมบัติอื่น ๆ ของอนุภาคในสารต่าง ๆ ซึ่งมีความสำคัญในหลายอุตสาหกรรม
ขั้นตอนนี้เป็นการนำชิ้นงานมาผ่านกระบวนการสกัดตามมาตรฐาน VDA19 โดยนำน้ำที่ผ่านการสกัดไปกรองผ่านแผ่นกรอง และนำแผ่นกรองไปวิเคราะห์ด้วยเครื่อง Particle Analyzer เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สำคัญดังต่อไปนี้:
ผลการวิเคราะห์จะจำแนกอนุภาคออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่:
1.ในกรณีที่พบอนุภาคประเภท Metallic (โลหะ) และต้องการทราบองค์ประกอบธาตุ จะทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วยเครื่อง SEM/EDX (Scanning Electron Microscope with Energy Dispersive X-ray Analysis).
การวิเคราะห์ด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด (SEM) และการวิเคราะห์องค์ประกอบของธาตุด้วย EDX
หลักการทำงาน
Scanning Electron Microscopy (SEM) เป็นเทคนิคที่ใช้ลำแสงอิเล็กตรอนในการสแกนพื้นผิวของตัวอย่างเพื่อสร้างภาพที่มีความละเอียดสูง สามารถแสดงรายละเอียดพื้นผิวและโครงสร้างของตัวอย่างในระดับไมโครเมตรได้อย่างชัดเจน
Energy Dispersive X-Ray Spectroscopy (EDX หรือ EDS) เป็นเครื่องมือที่ติดตั้งร่วมกับ SEM สำหรับการวิเคราะห์ธาตุในตัวอย่าง โดยตรวจจับลักษณะเฉพาะของรังสีเอกซ์ที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาระหว่างลำแสงอิเล็กตรอนกับธาตุต่าง ๆ ในตัวอย่าง
คุณสมบัติเด่นของ SEM/EDX
การประยุกต์ใช้งาน
ข้อดีของ SEM/EDX
หลักการทำงาน Fourier Transform Infrared Spectroscopy (FT-IR)
Fourier Transform Infrared Spectroscopy (FT-IR) เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์องค์ประกอบทางโครงสร้างเคมีของสาร โดยอาศัยคุณสมบัติการดูดกลืนแสงในช่วงความยาวคลื่นอินฟราเรด ตัวอย่างสารจะดูดกลืนหรือส่งผ่านแสงอินฟราเรดในลักษณะเฉพาะ ซึ่งเปรียบเสมือน “ลายนิ้วมือ” ทางเคมีของวัสดุแต่ละชนิด
ประเภทตัวอย่างที่สามารถวิเคราะห์ได้
FT-IR สามารถใช้งานกับตัวอย่างในสถานะต่าง ๆ เช่น
การประยุกต์ใช้งาน
คุณสมบัติเด่นของ FT-IR
ตัวอย่างของวัสดุที่วิเคราะห์ด้วย FT-IR ได้
จุดเด่นของการวิเคราะห์ด้วย FT-IR
การใช้งานในอุตสาหกรรม
ALS ปทุมธานี ให้บริการทดสอบ FT-IR ที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น
การวิเคราะห์อนุภาคมีความสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจในหลายด้าน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการควบคุมคุณภาพในภาพรวมของอุตสาหกรรม ดังนี้
การวิเคราะห์ขนาดและการกระจายของอนุภาคเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมคุณภาพในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์ อาหาร เภสัชกรรม และเคมี การเข้าใจขนาดอนุภาคช่วยให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตและรับประกันว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพสูงและตรงตามมาตรฐานที่กำหนด
การวิเคราะห์อนุภาคช่วยให้สามารถติดตามและปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของขนาดและจำนวนอนุภาคในระหว่างกระบวนการผลิต ซึ่งช่วยให้สามารถควบคุมสภาวะการทำงานที่เหมาะสมเพื่อให้ได้อนุภาคที่มีคุณสมบัติตามต้องการอย่างสม่ำเสมอ
การใช้เทคนิคการวิเคราะห์อนุภาคแบบออนไลน์ช่วยลดความล่าช้าและข้อผิดพลาดที่เกิดจากการสุ่มตัวอย่างและการวิเคราะห์แบบออฟไลน์ ทำให้สามารถตรวจสอบสถานะของกระบวนการผลิตได้แบบเรียลไทม์ และทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที
ในด้านวิจัยและพัฒนา การวิเคราะห์อนุภาคช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถเข้าใจพฤติกรรมของวัสดุต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรือปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว
เทคนิคการวิเคราะห์อนุภาคถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การควบคุมคุณภาพของผงอาหารในอุตสาหกรรมอาหาร การควบคุมขนาดอนุภาคของยาในอุตสาหกรรมยาและเภสัชกรรม และอุตสาหกรรมเคมีที่ต้องมีการควบคุมขนาดของสารเคมีต่าง ๆ ในกระบวนการผลิต เป็นต้น
ด้วยการควบคุมคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การวิเคราะห์อนุภาคสามารถช่วยลดต้นทุนในการผลิตได้ โดยลดจำนวนสินค้าชำรุดหรือไม่ตรงตามมาตรฐาน ทำให้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการผลิตได้มากขึ้น